Man on the moon
วันนี้เมื่อปี 54 ปีที่แล้ว (20 กรกฏาคม 1976)
มีกลุ่มมนุษย์ 3 คนได้เดินทางไปทำภารกิจของมนุษยชาติ ที่เคยคิดว่าเป็น ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้
“นั่นคือการเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์”
กล่าวคือนี่เป็นความฝันของมนุษย์ตั้งแต่อดีตกาล
ที่มีร่องรอยอยู่มากมายทั้งในตำนานเทพปกรนัม นวนิยาย การแต่งเพลงที่นิยามถึงความเหงาเชื่อมโยงกับดวงจันทร์ หรือแม้กระทั่งนิทานสอนเด็ก ก็มีความต้องการที่จะไขว่คว้ากันมาเสมอ
ประธานาธิบดีของสหรัฐ ก่อนนั้นคือ
จอห์น เอฟ เคเนดี้ อยู่ระหว่างแข่งขันแสนยานุภาพทางอวกาศกับทางโซเวียต (รัสเซียในปัจจุบัน) โดยโซเวียตได้มีการส่งดาวเทียมสปุตนิก1 ขึ้นสู่วงโคจรของโลกได้ก่อนเมื่อปี 1957
ขณะนั้นทั้งโลกเริ่มเข้าใจว่าอเมริกาเป็นผู้แพ้ในการแข่งขันทางอวกาศนี้แน่ๆ
จนประธานาธิบดีเคเนดี้ ในปี 1962
ได้ประกาศให้ชาวอเมริกันว่า
“We choose to go to the moon”
หรือ “เราเลือกที่จะไปดวงจันทร์ ”
ผ่านการกล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงกันดีในปัจจุบัน และให้คำมั่นว่าจะไปไม่เกินปี 1970
ทำให้การแข่งขันกับสหภาพโซเวียตมีต่อมาอย่างเข้มข้น
แต่ความสำเร็จในการพิชิตดวงจันทร์
กลับมาสำเร็จในยุคของประธานาธิบดี
ริชาร์ด นิกสัน ในอีก 7 ปีถัดมา
ก่อนคำมั่นของเคเนดี้หนึ่งปีเท่านั้น
แม้ว่าก่อนนั้นจะมีการพยายามส่งสัตว์
ไปในห้วงอวกาศแล้วก็ตาม
แต่ความสำเร็จที่แท้จริงคือการที่มนุษย์
ได้เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์เองต่างหาก
แล้วมนุษย์ทั้ง 3 คนนั้นสำคัญอย่างไร
และอยู่ตรงไหนในภารกิจ
ในยาวอวกาศอพอลโล่ 11 นี้
ลองไล่เรียงไปทีละคนครับ
1. นีล ออลเดน อาร์มสตรอง
เป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกัน
ที่ทุกคนจำได้จากสื่อและการสอนมาตั้งแต่สมัยยังเด็กว่าเค้านี่แหละ คือมนุษย์ที่พิชิตดวงจันทร์คนแรก (เหยียบเท้าลงก่อน) และได้พูดอมตะวาจาที่โด่งดังในวินาทีที่ก้าวเท้าลงดวงจันทร์ไว้ว่า
“ Thats one small step for man, one giant leap for mankind. ”
หรือแปลได้ว่า
“นั่นคือก้าวเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ”
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา และเป็นคำพูดที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอันมาก
2. บัซ อัลดริน
เค้าคือมนุษย์คนที่สองที่เหยียบดวงจันทร์ตามนีล อาร์มสตรองลงไป
เดิมบัซคือเด็กหนุ่มที่เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นทหารอากาศ และมีแรงบันดาลใจให้เค้าเรียนจบ ปริญญาตรีเครื่องกล
จากนั้นได้เข้าร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐจนเรียนปริญญาเอก สาขาการบินและอวกาศ หรือพูดให้ชัดคือ เค้าคือคนเดียวที่แบกวุฒิปริญญาเอกไปถึงดวงจันทร์คนแรกเลยก็ว่าได้
เดิมทีแล้วบัซได้ถูกวางไว้ในภารกิจให้เป็นผู้เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก
แต่มาเปลี่ยนเป็นนีล อาร์มสตรองในภายหลัง
เนื่องจากเหตุผลว่า บัซคือทหาร
การที่นีล อาร์มสตรองที่เป็นพลเรือนได้เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก น่าจะสร้ารงบันดาลใจให้กับคนทั่วไปได้มากกว่า ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นจนปัจจุบัน แต่เอาตรงๆก็แอบสงสารบัซเหมือนกันนะ
แต่เนื่องด้วยเค้าไม่ได้ถูกวางให้ลงพื้นคนแรก
เค้าเลยไม่ได้เตรียมคำพูดเท่ๆมาอย่างอาร์มสตรอง วินาทีที่เค้าลงที่พื้นดิน เค้าได้พูดว่า
“ Magnificent desolation” หรือ “ความรกร้างที่งดงาม” ที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างอนิเมชั่น Toy story สร้างตัวการ์ตูน “บัซ ไลท์เยียร์” ที่เราชื่นชอบ และมีคำพูดติดปากว่า
“ To infinity and beyond “
หรือคือ สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนั่นเอง
จากนี้เราคงดู Toy story ได้สนุกขึ้นมากโขเมื่อรู้ว่าตัวละครนี้มาจากต้นแบบอย่างบัซ อัลดริน
ผู้เสียสละที่แท้จริงในการเหนียบดวงจันทร์
แต่อย่างไรก็ตามก่อนภารกิจอพอลโล่11 นี้
บัซได้ทำภารกิจกับยาน Gemini 12
ในการเดินทางสู่ห้วงอวกาศและลอยคว้างท่ามกลางหมู่ดาวได้ 5 ชั่วโมง นานกว่านักบินอวกาศคนไหนที่ผ่านมา
และเป็นคนแรกของมนุษยชาติที่ “เซลฟี่”
ตัวเองจากอวกาศด้วย เท่ไปอีกกกกก!!
3. ไมเคิล คอลลินส์
นักบินอวกาศและนักบินทดสอบชาวอเมริกัน
คอลลินส์ได้มีภารกิจเป็น “นักบิน”
ให้กับอพอลโล่11 หรือกล่าวคือเค้ามีหน้าที่ที่จะควบคุมยานไปส่งบัซและอาร์มสตรอง
จากวงโคจรของดวงจันทร์
เพื่อให้สองคนนั้นได้ลงพื้นสำเร็จ
ในขณะที่เค้าต้องอยู่บนยาน
หรือกล่าวคือ ถึงแม้ว่าเค้าพาทีมเดินทางกว่า
238000 ไมล์จากโลกไปจนถึงวงโคจรดวงจันทร์แต่เค้าไม่ได้ลงเหยียบดวงจันทร์
(แม้จะห่างกันเพียงแค่ 69ไมล์ ก็ตาม)
ในภารกิจนี้ เค้าน่าสงสารจนพี่กอล์ฟ ฟัคกิ้งฮีโร่
ได้แต่งเพลง “ Michael Collins” และตีความ
ในอีกมุมหนึ่งที่ว่า หากเป็นเขาจะไม่ยอมคอยอยู่ที่บนยาน (ร้องร่วมกับพี่บอย โลโมโซนิค)
แต่จะกระโดดลงพื้นดวงจันทร์
และไม่ยอมแพ้มันง่ายๆแน่
ดังเนื้อความส่วนหนึ่งในเพลงที่ว่า
I wanna fly to the sky
I gonna fly way up so high
Even if I have to give up my life
I'm gonna make it, I'm gonna make it
คอลลินส์คือคนที่ถูกขนานนามว่า
“Loneliness person in the world”
“ เป็นมนุษย์ที่เหงาที่สุดในโลก “
เพราะคอลลินส์อยู่ในยานอวกาศ
ในระหว่างภารกิจของอาร์มสตรอง
ถึง 21 ชั่วโมง
โดยมีช่วงหนึ่งที่ยานอยู่ฝั่งด้านมืดของดวงจันทร์
(Dark side of the moon)
และไม่สามารถติดต่อกับฐานแม่ (Houston,Texas)
หรือมนุษย์คนใดได้เลยในระหว่างนั้น
ดังนั้นบางทีที่ว่าเราเหงานั้น
อาจจะเทียบไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่ง
ของคอลลินส์ก็ได้นะครับ55
อย่างไรในปี 2020 ที่ผ่านมามีคนถามเค้าว่า
“อวกาศน่ากลัวไหม?”
คำตอบในมุมของมนุษย์อายุ 90 ปี
ตอบสั้นๆกลับมาว่า
“ ไม่เลย โลกต่างหากที่น่ากลัว”
ลองตีความคำพูดของคอลลินส์
ในแบบฉบับของตัวเองดูนะครับ
อย่างที่เขียนไปข้างต้น
ทุกภารกิจที่จะประสบความสำเร็จได้
ทุกคนมีความสำคัญ
หลายคนอาจจะจำได้แต่ นีล อาร์มสตรอง
และไม่รู้จักบัซและคอลลินส์
หรือเพิ่งเคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ
แต่หากไม่มีบัซก็ไม่มีวิศวกรบนยาน
คอยแก้ปัญหาทางเทคนิคให้
หรือหากไม่มีคอลลินส์ คงไม่มีคนบังคับยานมาจนถึงดวงจันทร์ได้ แถมพากลับได้ปลอดภัยเสียด้วย
ในชีวิตจริงทุกคนอยากเป็นนีล อาร์มสตรองกันทุกคนแหละครับ แต่เมื่อถึงเวลาที่มองเห็นชีวิตชัดขึ้น
ภารกิจจะสำเร็จตามแผนไม่ได้ เพราะแค่นักบินอวกาศ 3 คนนี้หรอกครับ ส่วนตัวผมว่าต้องให้เครดิตมาตั้งแต่แม่บ้านและรปภ ก่อนมาถึงทีมงานหลังบ้านนับร้อยชีวิตเลยทีเดียวครับ ที่ต้องได้เครดิตด้วย
“ เพียงแค่เค้าอยู่ข้างหลังม่าน
ไม่ได้หมายความว่าพวกเค้าไม่สำคัญ “
อย่างไรก็ตาม
ในวันนั้นประธานาธิบดีนิคสันได้สื่อสารสุนทรพจน์
ต่อหน้าสาธารณชนหลังเสร็จสิ้นภารกิจได้อย่างกินใจ
แต่ความเป็นจริงที่น้อยคนจะรู้คือ
ท่านได้ร่างสุนทรพจน์ไว้สองฉบับ
ฉบับแรกคือที่เราได้ยินตามสื่อ คือภารกิจสำเร็จลุล่วง
และอีกฉบับจะใช้ในกรณีที่นักบินไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ประธานาธิบดีอย่างนิคสันแบกรับอยู่บนบ่า
โชคดีที่วันนั้นเราไม่ได้ยินร่างฉบับหลัง
ขอให้ทุกคนมีความสุขเหมือนเมื่อวันนี้เมื่อ 54 ปีที่แล้ว ที่ทุกคนทั้งโลกคอยเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ขาวดำ
คอยฟังข่าวใหญ่ของโลกในวันนั้นนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบ
ขอคารวะจากหัวใจ
Fly me to the moon…
20 July 2023 (54 years later)
ณัฐวุฒิ ธาราวดี
ปล. เนื้อความยาวหน่อย แต่ร้อยเรียงมาจากหนังสือและบทความ ที่เคยอ่านมาตลอดชีวิต
เพราะเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งที่ทำให้ก้าวเดินมาจนวันนี้ ขอใช้เวลาเรียบเรียงลงในวันนี้เพื่อบันทึกความทรงจำ